Saturday, 25 March 2023

ศาลอิหร่านสั่งประหารชีวิตผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการประท้วงเป็นรายแรก

ศาล อิหร่าน ตัดสินประหาร บุคคลรายหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับการประท้วงรุนแรงและกินเวลา นับเป็นผู้ประท้วงรายแรกที่โดนตัดสินโทษประหาร ยิ่งกว่านั้นศาลยังตัดสินจำคุกผู้ประท้วงอีก 5 ราย

เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2565 สำนักข่าวอัลจาซีราห์ แถลงการณ์ว่า ศาลปฏิวัติในกรุงเตหะราน ของอิหร่าน ตัดสินว่า จำเลยรายหนึ่งซึ่งไม่เปิดเผยนาม มีความผิดในข้อหา “เป็นปรปักษ์ต่อพระเป็นเจ้า” และ “เผยแพร่การคดโกงฉ้อฉลบนโลก” เกี่ยวพันกับเหตุประท้วงความปั่นป่วนติดไฟเผาศูนย์ราชการ และทำลายความสงบสุขของสาธารณะ ก่อคดีต่อต้านความมั่นคงของชาติ จะต้องรับโทษประหาร โดยเขาเป็นผู้ประท้วงรายแรกที่โดนจับกุมตัวฟ้องร้องและได้รับโทษประหารชีวิต นับตั้งแต่เริ่มมีการประท้วงรุนแรงที่อิหร่าน เมื่อก.ย.ที่ผ่านมา

ด้านสำนักข่าว IRNA ของอิหร่านแถลงการณ์ว่า มีผู้ประท้วงอีก 5 รายโดนตัดสินติดคุกระหว่าง 5-10 ปี ในข้อหา ทำลายความสงบสุขของสาธารณะ ก่อคดีต่อต้านความมั่นคงของชาติ โดยคำตัดสินของศาลถือเป็นชั้นต้นและทนายจำเลยสามารถขออุทธรณ์ได้

ทั้งนี้ สถานการณ์ในอิหร่านยังคงวุ่นวายจากการประท้วงในหลายเมืองทั่วราชอาณาจักรที่ดำเนินมาเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ หลังการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของมาห์ชา อามีนิ หญิงสาวเชื้อสายเคอร์ดิช วัย 22 ปีภายใต้การควบคุมตัวของตำรวจ เมื่อก.ย.2565 ซึ่งบรรดาผู้ประท้วงเชื่อว่าเธอเสียชีวิตจากการถูกทรมาน ทำร้ายร่างกายในคุก.

ประท้วง อิหร่าน สั่งประหารชีวิต

ศาลอิหร่าน ตัดสินประหารเป็นรายแรก ผู้เข้าร่วม อิหร่าน ต้านรัฐ

วันที่ 14 พ.ย. บีบีซี แถลงการณ์ว่า สื่อทางการอิหร่านแจ้งข่าวว่า ศาลอิหร่าน ตัดสินประหารผู้ถูกจับกุมฐานร่วมสำหรับในการประท้วงที่แพร่กระจายไปทั่วราชอาณาจักร โดยศาลปฏิวัติในกรุงเตะหรานพบว่า จำเลยที่ไม่ได้รับการเปิดเผยชื่อ จุดไฟเผาที่ทำการรัฐบาล และมีความผิดเป็นปฏิบัติต่อพระเจ้า

ขณะกลุ่มสิทธิมนุษยชนอิหร่าน (Iran Human Rights) เตือนว่า ทางการอิหร่านบางทีอาจวางแผนประหารชีวิตอย่างรีบร้อน โดยอ้างรายงานทางการว่า มีผู้ถูกตั้งข้อกล่าวหาที่สามารถได้รับโทษตายได้อย่างน้อย 20 คน

นายมาห์มูด อามีรี-โมกัดดัม ผู้อำนวยการกลุ่มสิทธิมนุษยชนอิหร่าน เรียกร้องให้ชุมชนระหว่างประเทศจัดการเร่งด่วนและเตือนอิหร่านอย่างแข็งขันถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาสำหรับในการประหารกลุ่มผู้ประท้วง

ทั้งนี้ การประท้วงเกิดขึ้นเมื่อ 2 เดือนก่อน หลังการตายของหญิงสาวรายหนึ่งขณะถูกตำรวจศีลธรรมกักตัวเนื่องจากฝ่าฝืนกฎหมายการสวมฮิญาบที่เคร่งครัด มีรายงานการประท้วง 140 เมืองทั่วราชอาณาจักร

กลุ่มสิทธิมนุษยชนอิหร่านกล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 326 ราย (ในปริมาณนี้เป็นเด็ก 43 ราย และผู้หญิง 25 ราย) จากการปราบอย่างรุนแรงโดยกองกำลังรักษาความมั่นคง

ส่วนสำนักข่าวนักขยับเขยื้อนสิทธิมนุษยชน (Human Rights Activists News Agency – HRANA) ที่อยู่นอกอิหร่านด้วยเหมือนกัน แถลงการณ์ว่า ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 339 ราย และกลุ่มผู้ประท้วงอีก 15,300 คน ถูกคุมตัว และเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงเสียชีวิต 39 นาย

ด้านชนชั้นนำของอิหร่านวาดภาพการประท้วงว่าเป็น “จลาจล” ที่ศัตรูต่างชาติของประเทศยุยง ล่าสุด เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นายโกลัมฮุสเซน โมห์เซนี เอเจย์ หัวหน้าศาลยุติธรรม ประกาศว่า ควรจะระบุตัวผู้ที่ทำความผิดคนสำคัญให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และตัดสินคดีโทษที่จะส่งผลยับยั้งชั่งใจคนอื่นๆได้

นายเอเจย์เตือนว่า ผู้ก่อความวุ่นวายบางทีอาจถูกตั้งข้อกล่าวหา “โมฮาเรเบห์” (เป็นศัตรูกับพระเจ้า), “เอฟซาด ฟิล-อาร์ซ” (ทุจริตบนโลก) และ “เบกี” (กบฏติดอาวุธ) ทั้งหมดนี้มีโทษประหารในระบบกฎหมายตามชารีอะห์ของอิหร่าน

หัวหน้าศาลกล่าวอีกว่า ผู้ครอบครองและใช้อาวุธหรืออาวุธปืน ก่อกวนความมั่นคงของชาติ หรือสังหารคนใดกัน บางทีอาจได้รับ “กีซาซ” (การตอบโต้ในรูปแบบเดียวกัน) เป็นการตอบตอบสนองต่อการเรียกร้องความยุติธรรมด้วยการลงโทษจากสมาชิกรัฐสภาอิหร่าน 272 คนจากทั้งหมด 290 คน

สื่อท้องถิ่นอ้างเจ้าหน้าที่ศาล มีผู้ถูกตั้งข้อกล่าวหามากกว่า 2,000 คนจากการมีส่วนร่วมในจลาจลครั้งล่าสุด ในปริมาณนี้ 164 คนอยู่ในจังหวัดฮอร์มอซกัน ทางใต้ อีก 276 คนอยู่ในจังหวัดมาร์กาซี ตอนกลาง และ 316 คนอยู่ในจังหวัดอิสฟาฮันที่อยู่ใกล้เคียง

ประท้วง อิหร่าน ผู้ต้องหา

ศาลอิหร่านมีคำพิพากษาประหารชีวิตผู้ประท้วงรายหนึ่งซึ่งติดไฟเผาสถานที่ราชการ สำหรับในการประท้วงเรียกร้องความยุติธรรให้ “มาห์ซา อามินี”

นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่ “มาห์ซา อามินี” หญิงชาวเคิร์ด-อิหร่านวัย 22 ปี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 ก.ย. ข้างหลังถูก “ตำรวจศีลธรรม” จับกุมตัว เนื่องจากไม่สวมฮิญาบคลุมผมและสวมชุดที่เผยท่อนแขนและขา ก็เกิดเหตุประท้วงรุนแรงอย่างสม่ำเสมอในอิหร่าน

กระทั่งรัฐบาลตัดสินใจใช้ไม้แข็ง ด้วยการลงมติผ่าน “กฎหมายประหารชีวิตผู้ที่ก่อคดีร้ายแรงต่อเมือง” ซึ่งหมายความรวมถึงเหล่าผู้ประท้วงที่ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับอามินีด้วยความแค้น

และล่าสุดสื่อเขตแดนอิหร่านแถลงการณ์ว่า ศาลอิหร่านได้มีคำพิพากษาประหารผู้ประท้วงรายหนึ่งโดยไม่เปิดเผยชื่อ ซึ่งจุดไฟเผาสถานที่ราชการในระหว่างการประท้วง จากความผิด ฐาน “ก่อกวนความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ และการสมรู้ร่วมคิดกันก่ออาชญากรรมต่อความมั่นคงของชาติ ก่อสงครามและความชั่วร้ายบนโลก ก่อสงครามผ่านการลอบวางเพลิง และเจตนาทำลายล้าง”

ยิ่งกว่านั้น ยังมีผู้ประท้วงอีก 5 คนถูกจำคุก 5-10 ปี ภายใต้ข้อหาก่อกวนความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ และการสมรู้ร่วมคิดกันก่อคดีต่อความมั่นคงของชาติ

ตลอดเวลาเกือบจะ 2 เดือนที่ผ่านมาที่เกิดเหตุประท้วง ทางการอิหร่านได้พยายามปราบปรามผู้ประท้วงด้วยความร้ายแรง โดยจับกุมตัวและฟ้องร้องกับผู้ประท้วงแล้วอย่างน้อย 1,000 คน และสังหารผู้ประท้วงไปแล้วถึง 326 ราย ทำให้นี่เป็นหนึ่งสำหรับในการประท้วงที่นองเลือดที่สุดกาลครั้งหนึ่งของอิหร่าน

องค์การสหประชาชาติ หรือองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ออกมาเรียกร้องให้ทางการอิหร่าน “หยุดการใช้โทษประหารกับผู้ที่ร่วมหรือถูกกล่าวอ้างว่ามีส่วนร่วมสำหรับในการประชุมอย่างสันติภาพ” และ “หยุดใช้โทษประหารเป็นครื่องมือในการปราบปรามการประท้วง”